วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การดูแลสุขภาพช่องปากเด็กเล็ก

ในเด็กเล็ก การพัฒนากล้ามเนื้อของข้อมือยังไม่ดีนัก เด็กจึงไม่สามารถแปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึงทุกซี่ทุกด้าน หรือว่าผู้ที่เลี้ยงดูเด็ก
ควรแปรงฟันให้ พร้อมกับการฝึกให้เด็กแปรงฟันหน้ากระจกเงา เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ถึงวิธีการแปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึง ร่วมกับปล่อยให้
เด็กแปรงฟันด้วยตัวเองบ้าง เมื่อเด็กอายุประมาณ 7-8 ขวบ จึงสามารถปล่อยให้เด็กแปรงฟันเองได้ เพราะว่าเด็กจะมีพัฒนาการข้อมือที่ดี
เพียงพอแล้ว
     การแปรงฟันให้เด็กเล็กมาก ๆ ควรให้เด็กอยู่ในท่าที่สบาย โดยมากจะให้เด็กนอนตักในที่ที่มีแสงสว่างพอเพียง แล้วแม่หรือพี่เลี้ยงดูจึง
แปรงฟันให้เด็ก เมื่อเด็กโตขึ้น วิธีที่นิยมคือ ผู้แปรงฟันให้เด็กอยู่ด้านหลังเด็ก แล้วใช้มือด้านซ้ายจับคางเด็ก เพื่อให้เด็กนิ่งและเงยหน้าเล็ก
น้อย วิธีแปรงฟันให้เด็กเล็ก ให้วางขนแปรงตั้งฉากกับฟัน แล้วถูไปมาในแนวขวาง โดยขยับไปมาสั้น ๆ แล้วจึงเลื่อนแปรงยังตำแหน่งถัดไป
และควรแปรงฟันอย่างเป็นระบบเพื่อให้ไม่หลงลืมในการแปรงฟันบางด้านไป โดยการเริ่มแปรงฟันจากฟันบนด้านที่ติดแก้มขวาสุด วนมา
ทางซ้ายแล้วเริ่มแปรงฟันล้างที่ติดแก้มด้านซ้ายวนมาทางขวา แล้วจึงแปรงด้านบนเพดานปากวนในลักษณะ เช่นเดิม จากนั้นจึงแปรงด้าน
ที่บดเคี้ยวทั้ง 4 ด้าน ด้วยการถูไปมาขั้นสุดท้ายคือ แปรงลิ้นให้เด็กด้วยการปัดขนแปรงออกเบา ๆ ที่บริเวณด้านบนของลิ้น ในการแปรงฟัน
ให้เด็ก ควรใช้นิ้วมือข้างที่จับคางเด็กช่วยกันกระพุ้งแก้มเด็กในบริเวณที่แปรงฟัน เพื่อป้องกันไม่ให้แปรงสีฟันกระแทกกับเนื้อเยื้ออ่อนใน
ปากเด็ก
     การแปรงฟันในเด็กยังไม่จำเป็นต้องใช้ยาสีฟัน เพราะว่าเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบ ยังควบคุมการกลืนยังไม่ดีนัก โดยเด็กส่วนใหญ่จะกลืน
ยาสีฟันขณะที่แปรงฟัน ซึ่งหากเป็นยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ การกลืนยาสีฟันบ่อย ๆ อาจทำให้เด็กได้รับปริมาณสารฟลูออไรด์มาก
เกินไป ซึ่งจะส่งผลเสียต่อฟันที่กำลังสร้างตัว ทำให้เกิดฟันตกกระได้ หากต้องใช้ยาสีฟันก็ควรเลือกใช้ยาสีฟันของเด็ก ซึ่งมีส่วนผสมของฟลู
ออไรด์น้อยกว่าของผู้ใหญ่ และใช้แตะขนแปรงเพียงเล็กน้อย หรือ ขนาดไม่เกินเม็ดถั่วเขียวก็พอแล้ว
     ควรดูแลเรื่องอาหารให้เด็ก เพื่อป้องกันฟันผุ เพราะว่าอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลนั้นเป็นต้นเหตุสำคัญในการเกิดโรคฟันผุในเด็กเล็ก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำตาลทรายในขนมจะทำให้เกิดโรคฟันผุได้มากกว่าน้ำตาลชนิดอื่น ๆ และเด็ก ๆ มักที่จะชอบขนมหวาน ดังนั้น จึงควรให้
การเอาใจใส่การดูแลเรื่องการรับประทานขนมหวานให้เด็กเล็ก โดยไม่ควรให้เด็กรับประทานน้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่มีรสหวาน ทอฟฟี่ ขนมปัง
อบกรอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าเด็กเคยรับประทานตั้งแต่เด็กก็มักจะติดใจในรสชาติและรับประทานขนมหวานจนเป็นนิสัย คุณแม่หรือผู้ที่เลี้ยงดู
ควรฝึกให้เด็กรับประทานขนมหวานในมื้ออาหาร ก็จะช่วยให้น้ำตาลในช่องปากมีความเจือจางและเกิดอันตรายแก่ฟันลดลง ร่วมกับการฝึกให้
เด็กรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นอาหารว่าง เช่น ผลไม้ นม

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เกร็ดเล็กน้อยในการดูแลสุขภาพเด็ก

เมื่อพาลูกไปหาหมอควรทำอย่างไร
1. อย่าแสดงความกังวลมากเกินไปเพราะจะทำให้ลูกตกใจตามไปด้วย
2. เล่าอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆรวมทั้งการรักษา และการใช้ยาที่ทำไปแล้ว
3. ตอบคำถามของหมอให้ตรงจุดไม่ปิดบัง
4. อุ้มลูกนั่งตัก หรืออยู่ใกล้ชิดเพื่อให้ลูกอุ่นใจ
5. ถ้าลูกต้องฉีดยา เจาะเลือด ไม่ควรหลอกลูกว่าไม่เจ็บ แต่ควรบอกลูกว่าเจ็บนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย
6. ถ้าหมอนัดตรวจอีกครั้ง ควรมาตามนัดเพื่อรักษาให้หายขาด

สร้างลูกให้ฉลาดด้วยนมแม่
ระยะ 3 เดือนก่อนคลอด และ 6 เดือนหลังคลอด เป็นช่วงที่สำคัญเพราะเป็นช่วงที่เชลล์สมองกำลังแบ่งตัว และเจริญเติบโตมากที่สุด ดังนั้นการให้นมลกเองในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด จึงเป็นโอกาสทองที่แม่จะสร้างความเฉลียวฉลาดให้กับลูก
ในน้ำนมแม่นอกจากจะอุดมไปด้วยโปรตีน แร่ธาตุ ไขมันและวิตามินที่ทารกต้องการแล้ว น้ำนมถั่วเหลืองยังเป็นเหมือนวัคซีนป้องกันการติดเชื้ออย่างดี และยังมีน้ำตาลนมเป็นจำนวนมาก ซึ่งน้ำตาลนมนี้เองเป็นตัวการสำคัญของการเจริญเติบโตของสมองน้อย ๆของลูกคุณนั่นเอง
 

คำแนะนำการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
- ควรให้ลูกดูดนมแม่ภายหลังคลอดให้เร็วที่สุดเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้มากเพียงพอ
- ควรทำความสะอาดบริเวณหัวนมก่อนให้ลูกดูดทุกครั้ง โดยใช้สำลีชุบน้ำตมเช็ดก่อนให้ลูกดูดนม เมื่อให้นมเสร็จเช็ดด้วยสำลีอีกที
- ท่าที่ลูกจะดูดนมได้อย่างถูกต้อง คือ ให้หัวนมแม่อยู่ที่แก้มใกล้มุมปากลูก โดยธรรมชาติเด็กจะหันปากไปมาจนพบหัวนม และอ้าปากพร้อมที่จะดูดทันที ไม่ควรจับศรีษะลูกและพยายามดันหัวนมเข้าปากทันที เพราะลูกอาจจะปฏิเสธการดูดนมได้
- ควรให้ลูกอมหัวนมถึงบริเวณส่วนคลำรอบหัวนม (บริเวณลานหัวนม)ให้มากที่สุด ถ้าลูกอมตื้นเงือกเด็กจะกดลงตรงหัวนมแม่ ทำให้หัวนมแม่เจ็บมาก และอาจทำให้เกิดแผลบริเวณหัวนมได้
- ควรอุ้มลูกให้เรอทุกครั้งหลังการให้นม เพื่อระบายลมออกจากท้อง
 

เทคนิคการป้อนนมขวด
- ควรนั่งบนเก้าอี้ในท่าที่สบาย อุ้มลูกไว้ที่วงแขน
- ถือขวดนมให้เอียงได้ระดับ เพื่อลูกจะได้ไม่ดูดเอาอากาศเข้าไปซึ่งทำให้อืด ปวดท้องได้
- อย่าให้ลูกดูดนมเองตามลำพัง โดยใช้ผ้าหนุนคอขวดไว้
- จับลูกเรอให้เป็นระยะ จนกว่าลูกจะกินนมอิ่ม
- ไม่ควรเก็บนมที่เหลือไว้ให้ลูกกินอีก
- ควรล้างขวดนมทันทีด้วยน้ำอุ่นหรือนำยาล้างขวดนม แล้วนำไปต้มในน้ำเดือนนาน 15 นาที จึงจะนำไปใช้ได้
 

ลูกอ้อน 3 เดือน
ลูกอ้อน 3 เดือน หรือร้อง 3 เดือน ก็คือการร้อง โคลิกของแพทย์สมัยใหม่นั้นเองค่ะ
อาการจะเริ่มเมื่อเด็กอายุราว 2 สัปดาห์ และมักหายไปเมื่ออายุ 3 เดือนอาการร้องอย่างรุนแรงนี้มักจะเริ่มตอนเย็น ๆ ลูกจะงอเข่าและเหยียดเกร็งคล้ายกับปวดท้องอย่างแรง แผดเสียงร้องอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่พอถึงเวลาหยุดคือประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็จะเงียบสนิทเป็นปลิดทิ้งเลยที่เดียว
คุณแม่สามารถช่วยลูกได้โดย
- ตกเย็นสร้างสภาพแวดล้อมให้ดีที่สุด
- เปิดเพลงเย็นๆ เบา ๆ
- อุ้มลูกไว้แนบอก พร้อมปลอบเบา ๆ
- ขณะปลอบอาจจะอุ้มลูกเดินไปเดินมา ที่สำคัญแม่ต้องใจเย็น อย่าหงุดหงิดหรือร้องไห้ตามลูก
 

ลิ้นเป็นฝ้า
ฝ้าขาวที่เกาะอยู่บนลิ้น กระพุ้งแก้มของลูก เกิดจากผิวชั้นนอกที่ลอกออก และมีน้ำลายผสมคราบนมและเศษอาหารมาเกะ บางครั้งก็มีเชื้อราทำให้เกิดเป็นปื้นขาว ๆ เกาะแน่นอยู่บนลิ้น ทำให้ลูกเจ็บและเบื่อนมได้ การล้างคราบนมที่ติดในช่องปากใช้สำลีชุบน้ำอุ่นหรือกลีเซอรีนบอแรกซ์เซ็ดทำความสะอาดวันละ 2-3 ครั้ง หากมีฝ้าเกาะติดที่ผนังด้านกระพุ้งแก้ม ซึ่งรักษาความสะอาดยาก ควรป้ายยาสีม่วงเจนเซียนไวโอเล็ต 1% วันละครั้ง ถ้าทำวิธีการต่าง ๆ แล้วไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์
 

ผื่นผ้าอ้อม
เกิดจากผ้าอ้อมที่ซักไม่สะอาดระคายเคืองผิวลูกหรือผ้าอ้อมเปียกชื้นเป็นที่หมักหมมของเชื้อโรค จนก่อให้เกิดผื่นผิวหนังลูก การปล่อยให้ลูกนอนจมฉี่หรือไม่ได้เปลี่ยนผ้าอ้อม ปล่อยให้อับชื้นอยู่นาน ๆ แอมโมเนียในปัสสาวะ จะทำให้เกิดผื่นผ้าอ้อมได้
การแก้ไขทำได้ง่าย ๆ โดยซักผ้าออมให้สะอาด ตากแดดให้แห้งสนิทหากเป็นวันที่อากาศอับชื้น ไม่มีแดดควรรีดฆ่าเชื้อโรคก่อนนำมาใช้เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกทำความสะอาดก้นลูก โดยใช้สำลีหรือผ้าชุบน้ำเช็ดให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้งสนิทก่อนใส่ผ้าอ้อมผืนใหม่ หากเป็นมากปล่อยให้ลูกล่อนจ้อนบ้าง ให้อากาศถ่ายเทสะดวก หากเป็นมากควรพาไปพบแพทย์
 

ผื่นในรอยพับ
ถ้าลูกอ้วนมาก เนื้อจะย่นเป็นชั้น ๆ จนเกิดเป็นรอยพับ เป็นที่หมักหมมความชื้น เกิดความเสียดสีทำให้เกิดความระคายเคือง และมักเป็นผื่นแดงได้ง่าย
วิธีแก้ไข
- ควรอาบน้ำให้สะอาด ดึงเนื้อย่น ๆ ของลูกแล้วล้างบริเวณรอยพับให้เกลี้ยง อย่าให้คราบแป้งเกาะอยู่ เพราะยิ่งทำให้หมักหมม เมื้อสะอาดดีแล้ว เช็ดตัวลูกให้แห้ง ปล่อยให้ผิวแห้งสนิทก่อนทาแป้งบาง ๆ อาจทาวาสลีนบาง ๆ บริเวณรอยย่นเพื่อป้องกันการเสียดสีและระคายเคียง
 

ลูกสะดือจุ่นทำอย่างไร
การที่เด็กมีสะดือโป่งออกมา โดยเฉพาะในเวลาร้องไห้หรือเบ่งอุจจาระจะโตมากขึ้นและตึง จนเป็นที่หวาดเสียวแก่คุณพ่อ คุณแม่ ว่าจะแตกออกมาเหมือนลูกโป่ง ทั้งนี้เพราะช่วงเวลานั้น เป็นช่วงความดันช่องท้องเพิ่มขึ้น สาเหตุเกิดจากความอ่อนแอของกล้ามเนื้อหน้าท้องบริเวณนั้น ส่วนอาการดังกล่าวจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น (มักจะหายภายใน 2 ปี) นอกจากในรายที่เป็นรูเปิดกว้างมาก ซึ่งอาจไม่ปิดเองก็อาจจะพิจารณาผ่าตัดได้ในภายหลัง การใช้แทบพลาสเตอร์ หรือใช้เหรียญบาทกดทับไว้ไม่เป็นการช่วยแต่อย่างใด แต่จะทำให้บริเวณนั้นชื้นแฉะ และอักเสบได้ง่าย
 

ลูกเมารถ
ไม่ว่าจะเดินทางโดยรถ เรือ หรือเครื่องบิน เด็กบางคนจะคลื่นไว้ อาเจียน ถ้าลูกมีอาการดังกล่าวระหว่างการเดินทางควรปฏิบัติดังนี้
- ก่อนเดินทางอย่าให้ลูกกินอาหารมาก
- นำเอาของเล่นหรือเกมส์ให้ลูกเล่นจนเพลิน
- อย่าให้ลูกตื่นเต้นมาก
- เปิดหน้าต่างรถอย่างน้อย 1 บาน เพื่อให้อากาศเข้ามา
- หยุดเดินทางเป็นระยะเพื่อให้ลูกยืดแขนยืดขา
- หากเป็นไปได้ควรเดินทางกลางคืน ลูกจะได้หลับ
- ขอยาป้องกันการคลื่นไส้อาเจียนจากแพทย์
 

เมื่อลูกท้องผูก
1. ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะการดื่มน้ำน้อยจะทำให้ก้อนอุจจาระในลำไส้แห้ง แข็ง และถ่ายลำบาก
2. ให้ดื่มน้ำส้มคั้นหรือน้ำมะขามจาง ๆ ครั้งแรกอาจเริ่มให้ดื่มวันละ 1 ช้อนชา แล้วจึงเพิ่มเป็น 2 ช้อนชา จนดูว่าถ่ายอุจจาระเป็นปกติดีจึงค่อยงด
3. ในเด็กเล็ก ๆ ไม่ควรจับลูกสวนอุจจาระบ่อย ๆ เพราะจะทำให้ทวารหนักอักเสบและที่สำคัญจะทำให้ลูกกลัวหวาดผวาได้ ควรพบแพทย์เพื่อช่วยเหลือด้วยการให้ยาระบายอ่อน ๆ เพื่อให้ร่างกายซินกับระบบขับถ่าย และควรเพิ่มอาหารเสริมประเภทมีกากมาก ๆ เช่น ผัก ผลไม้จะช่วยได้มากขึ้น

เป็นหวัดบ่อย
เด็กส่วนใหญ่จะเป็นไข้หวัดเฉลี่ยปีละ 6 ครั้ง มักมีอาการไข้อยู่ประมาณ 2-3 วัน ร่วมกับอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล บางครั้งอาจมีอาการไอหรือเจ็บคอเล็กน้อย
วิธีหลีกเลี่ยง ไม่ให้ลูกเป็นไข้คือ อย่าปล่อยให้ลูกตากฝน หรือแม้แต่โดนละอองฝน หลีกเลี่ยงจากคนที่เป็นไข้หวัด หากคุณพ่อ คุณแม่หรือคนในบ้านไม่สบายควรอยู่ห่าง ๆลูกสักพัก ก็จะเป็นการดี เพื่อช่วยให้สุขภาพของลูกน้อยที่คุณรักปลอดภัยจากการเจ็บไข้
การใช้ยาเมื่อลูกเป็นไข้หวัด
1. เด็กมีไข้ตัวร้อนถ้าอายุต่ำกว่า 1 ปี ห้ามใช้ยาแอสไพริน
2. เด็กมีน้ำมูกใส ถ้าอายุต่ำกว่า 1 ปี หามใช้ยาเอง ให้ใช้ลูกยางดูดน้ำมูกออกมาก็พอ
3. เด็กมีอาการคัดจมูกไม่ควรใช้ยาเอง อาจจะให้ดื่มน้ำอุ่น หรือจะสูดดมไอน้ำก็ได้
4. ถ้าเด็กมีไอเสมหะ ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ ถ้าไม่มีเสมหะให้ดื่มยาแก้ไอน้ำเชื่อมได้
5. อาการเจ็บคอมีน้ำมูกเขียว ๆเหลือง ๆ มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส แสดงว่ามีอาการแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรียให้พบแพทย์
 

กำจัดเสมหะในเด็กลดปัญหาปอดบวม
การเคาะปอดร่วมกับการจัดท่าไล่เสมหะจากแขนงขั้วปอดออกมาภายนอกแล้วดูดออก ทำให้เด็กหายใจสะดวกขึ้น นอนหลับได้ในเด็กเล็ก ๆ มักมีปัญหาในการกำจัดเสมหะจากร่างกายด้วยตนเองด้วยการไอหรือบ้วนเสมหะออกจากปากรวมทั้งการสั่งน้ำมูกจึงต้องให้นักกายภาพบำบัดดูดเสมหะให้ก่อนก่อนการดูดเสมหะไม่ควรรับประทานอาหารอย่างน้อยครึ่งชัวโมง และหลังจากการดูดเสมหะแล้วผู้ปกครองควรอุ้มเด็กพาดบ่าสักครู่จนเด็กหายเหนื่อยแล้วค่อยให้อาหาร
 

ถ้าลูกชักจากไข้สูง
ชัก คือ อาการเกร็งและกระตุกของกล้ามเนื้อทั้งตัวหรือหรือบางส่วนบางคนจะกัดลิ้น หายใจขัด ถ้าปล่อยให้ชักนาน ๆสมองจะขาดอ๊อกชิเจนทำให้พิการปัญญาอ่อนหรือเสียชีวิตได้
ข้อควรปฏิบัติ
1. หาด้ามช้อน หรือปากกาพันด้วยผ้าบาง ๆ สอดเข้าไปในปากเพื่อกันไม่ให้เด็กกัดลิ้นตัวเอง
2. ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นให้ทั่วตัววางกระเป๋าน้ำแข็งประคบที่ศรีษะ ขาหนีบรักแร้ทั้งสองข้าง ควรเช็ดตัวจนกว่าเด็กจะตัวเย็นลง
3. หลังจากหยุดชัก ถ้าเด็กจนรู้สึกตัวดี ให้ป้อนยาลดไข้
4. รีบนำเด็กมาพบแพทย์โดยเร็ว และ ควรเช็ดตัวลดไข้ตลอดระยะเวลาการเดินทาง เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กชักซ้ำ
 

ลูกกินยายาก
- เตรียมเครื่องดื่มที่ลูกชอบไว้ให้ดื่มตาม เพื่อกลบรสยา
- แนะนำให้ลูกปิดจมูกเพื่อไม่ให้รับกลิ่นแต่อย่าบังคับหรือบีบจมูกลูก
- ถ้าลูกโตพอควรอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าการกินยาทำให้หายป่วย
- หากลูกไม่ชอบรสชาดของยา ขณะกรอกยาให้กรอกยาไปที่โคนลิ้นจะช่วยให้ลูกรับรู้รสน้อยลง

การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค

อายุ

การให้ภูมิคุ้มกันโรค

แรกเกิด 1 เดือน

2 3  เดือน

4 5  เดือน


6 7  เดือน

9 12 เดือน
11/2 2 ปี

4 ปี


7 ปี ( แรกเข้าเรียน )



11 14 ปี  ( ก่อนออกจากโรงเรียนชั้นประถม )

15 ปีขึ้นไป
1 . ฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค
2 . ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ
1 . ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก  ครั้งที่ 1
2 . กินวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 1
1 . ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ครั้งที่ 2
2 . กินวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้ง 2
1 . ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ครั้งที่ 3
2 . กินวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 3
1 . ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด
1 . ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก กระตุ้น ครั้งที่ 1
2 . กินวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ
1 . ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก กระตุน ครั้งที่ 2
2 . กินวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ
3 . ให้วัคซีนป้องกันโรคไข้ทัยฟอยด์
4 . ฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค
5 . ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก
6 . ให้วัคซีนป้องกันโรคไข้ทัยฟอยด์
1 . ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก
2 . ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันในเด็กหญิง
3 . ให้วัคซีนป้องกันโรคไข้ทัยฟอยด์
1 . ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักทุก 10 ปี
2 . ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทัยฟอยด์




หมายเหตุ
1 . วัคซีนทุกชนิดไม่สามารถให้ตามกำหนดได้  ก็เริ่มให้ทันทีที่  พบครั้งแรก
2 . วัคซีนที่ให้มากกว่า 1 ครั้ง หากเด็กเคยได้รับวัคซีนมาบ้างแล้ว และไม่มารับต่อไปตามกำหนดนัด  ให้ฉีดวัคซีนต่อไปนั้นได้ทันทีที่พบเด็ก โดยไม่ต้องเริ่มต้นครั้งที่ 1 ใหม่

คำแนะนำในการให้วัคซีน

1 . ท่านควรทราบว่าเด็กของท่านได้รับวัคซีนอะไรบ้างในแต่ละครั้ง  และทราบด้วยว่าอาจเกิดอาการจากวัคซีนนั้นอย่างไรบ้าง  ทั้งนี้เพื่อให้การดูแลเด็กได้อย่างถูกต้อง
2 . การฉีด บี.ซี.จี วัคซีนป้องกันวัณโรค เด็กทุกคนจะได้รับเมื่อแรกเกิด ฉีดที่สะโพกขวาหลังฉีดจะไม่มีแผล ต่อมาประมาณ  3 4  อาทิตย์  จะเห็นเป็นตุ่มแดงบริเวณที่ฉีด  ถ้าตุ่มที่ขึ้นมาบวมแดง  อาจจะไม่มี่หนองก็ได้  ให้เช็ดผิวหนังบริเวณนั้นให้สะอาดและแห้งเสมอด้วยแอลกอฮอล์ 70%   ทุกครั้งที่แผลเปียก ตุ่มนี้จะค่อยๆแห้งและจะมีรอยบุ๋มตรงกลางภายใน 3 6 อาทิตย์
3 . หลังการฉีดวัคซีนต่างๆ เด็กอาจตัวร้อนอยู่ประมาณ 1 2 วัน ควรเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นและให้ยาลดไข้ตามที่แพทย์สั่ง
4 . ในวันนัด ถ้าเด็กมีไข้  ควรเลื่อนไปจนกว่าเด็กจะหายไข้
5 . ถ้าเด็กเคยมีอาการรุนแรงหลังฉีดวัคซีน  เช่น ชัก ไข้สูงมาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีดครั้งต่อไป

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม